เทศน์เช้า

จิตดวงหลังดับ

๑๒ ส.ค. ๒๕๔๔

 

จิตดวงหลังดับ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

บุญกุศลนะ วันนี้ทำบุญกุศล บุญกุศล เห็นไหม ทุกคนปรารถนาความเป็นบุญกุศล ทุกคนปรารถนาความสุข ทุกคนปรารถนาความพ้นทุกข์ แต่การหาความพ้นทุกข์หากันที่ไหน?

หลวงปู่แหวนบอกไว้ในหนังสือ เห็นไหม “จิตดวงหลังดับ” จิตดวงหลังนะ จิตดวงแรกนี่ จิตพวกเราไม่เคยดับ จิตพวกเราสืบต่อกัน พอสืบต่อกันมันมีความรู้สึก มันผูกพันกันแล้วมันก็ผูกมัดกันไปตลอดเวลา

จิตดวงหลังดับ เห็นไหม จิตดวงหลังดับหมายถึงกรรมมันขาด กรรมมันไม่งอก มันรับรู้เฉพาะของมันเองแล้วไม่สืบต่อ การไม่สืบต่อคือการไม่ผูกพัน เราสืบต่อ เราผูกพันกันไป เราผูกพัน มันเป็นอารมณ์ไป มันหมุนออกไปเพราะอะไร?

เพราะว่ากิเลสมันงอกไง ความงอกมันเกี่ยวพันกันไป เวลาจิตมันเกิด ดวงของจิตเกิดขึ้นมาจะรับรู้กันตลอดไป แต่จิตมันเกิดมาดวงเดียว รับรู้ดวงเดียวแล้วก็ดับภายในดวงเดียว มันไม่สืบต่อกัน คือว่ากิเลสมันไม่งอก กิเลสมันขาดออกไปจากใจ อันนั้นคือการปฏิบัติ

สิ้นสุดของการประพฤติปฏิบัติมันต้องมีรู้ว่าสิ้นสุดจบกันลงตรงไหนไง ตรงที่ว่ากิเลสมันไม่งอก กิเลสมันขาดออกไปจากใจ กิเลสขาดออกไปจากใจ ใจนั้นพ้นออกไปจากความทุกข์ นั่นน่ะเป็นเนื้อนาบุญของพวกเรา เห็นไหม เป็นเนื้อนาบุญ เราปรารถนาบุญกุศล เราต้องทำบุญกุศล เนื้อนาบุญของเรา หว่านพืชลงไปขึ้นไปแล้ว มันถึงจะได้ผลมาเต็มมหาศาลของเรา

ถ้าเราหว่านพืชของเราไป การหว่านพืชของเราไป บุญกุศลที่เราหว่านลงไป ถ้าหว่านลงไปถึงเนื้อนาบุญที่ดี มันจะได้บุญกุศลของเรากลับมา ในพระไตรปิฎกบอกไว้ เห็นไหม “ทำบุญกุศลได้บุญกุศลมากที่สุด คือทำกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกต่างๆ แล้วก็ต่ำกันลงมา จนไม่มีที่เราไว้ใจได้ ต้องทำบุญสังฆทาน”

สังฆทานเหมือนสังฆะ สังฆะเหมือนสงฆ์ สงฆ์เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สงฆ์ไม่ใช่สงฆ์สมมุติสงฆ์ สังฆะ สงฆ์ เห็นไหม ๔ องค์รวมกันถึงเป็นสงฆ์ แต่สงฆ์ที่บริสุทธิ์นั้น เห็นไหม “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” สงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นมาในโลก สงฆ์นั้นคือผู้ที่บริสุทธิ์ แต่สังฆะนี่ตัวแทนไง เป็นสังฆสภา เป็นตัวแทนของสงฆ์ นี่เนื้อนาบุญของโลก ทำสังฆทานไป

อันนี้ก็เหมือนกัน วันนี้วันพระ เราทำบุญกุศลขึ้นมา บุญกุศลทำขึ้นไปแล้ว มันจะได้เปิดต่อไป มันเปิดสามโลกธาตุไง วันนี้เป็นวันกลาง เป็นวันของสากล ทุกภพทุกชาติรับรู้กันเรื่องบุญกุศล เพราะว่าการเกิดและการตาย ใจดวงนี้เคยเกิดและเคยตาย เคยสัมผัสกันมา ในพุทธศาสนาสอนถึงว่าวันพระวันโกน เห็นไหม วันโกนวันเตรียมตัว รู้แล้วพรุ่งนี้จะได้บุญกุศล มันมีความสุขใจมีความพอใจ

แล้ววันนี้เป็นวันพระวันธรรมนะ ทำบุญกุศลขึ้นมาเพื่อจะให้ใจมีความสุข ทำบุญกุศลขึ้นมา บุญกุศลมันเป็นอาหารของใจ อาหารของร่างกายคืออาหารของคำข้าว แต่คำข้าวกินเข้าไปขนาดไหน หัวใจมันเศร้าหมอง หัวใจมันก็ทุกข์อยู่ของมัน แล้วเอาออกไม่ได้ไง

เวลากินข้าวเข้าไปนะ พอมันย่อยอาหารหมดไป พอมันหมดไปมันก็หิว พอหิวมันก็อยากกินอีก แต่อารมณ์ที่มันอยู่ในหัวใจ มันย่อยไม่ได้ มันเกิดดับเกิดดับอยู่ในหัวใจนั้น พอมันย่อยออกไป มันดับไปเดี๋ยวก็เกิดใหม่ๆ

นี่จิตดวงหลังไม่ดับ จิตดวงหลังมันสืบต่อ ความผูกพันของจิต ดวงของจิตมันผูกมัดเข้าไป พอมันผูกมัดเข้าไปมันก็สืบต่อกันไป มันเป็นอารมณ์ผูกพันกันไป แล้วมันก็หมุนกินต่อไปตลอดไป

แต่ถ้าจิตดวงหลังมันดับ กิเลสมันไม่งอก เห็นไหม มันรับรู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์สอนอัครสาวกต่างๆ ใช้อะไรสอน? พระอรหันต์ต่างๆ เวลาพูดเวลาสื่อกับญาติโยมเอาอะไรสื่อ? เห็นไหม ก็เอาดวงจิตเอาความรู้อันนั้นสื่อออกมา แต่สื่อออกมาด้วยความรับรู้ สื่อเพื่อความหมายไง

แต่ของเราสื่อเพื่อความหมายด้วย พอความหมายนั้นเกิดขึ้นมา มันมีอารมณ์อย่างนี้ มันงอก เห็นไหม จิตนี้มันงอกออกไป มันรับรู้อารมณ์ สิ่งนี้ถูกหรือผิด? พูดไปถูกหรือไม่ถูก? เห็นไหม ความรับรู้อันนั้นมันทำให้เราผูกพันไป แล้วผิดถูกขึ้นมามันก็ย้อนกลับมาเป็นว่า เอ๊...ผิดหรือถูก? มันลังเลสงสัย

ความลังเลสงสัยมันสืบต่อด้วย สืบต่อแล้วก็หลอกตัวเองด้วยว่าตัวเองทำถูกหรือทำผิด? ถ้าตัวเองทำถูกมันก็พอใจ นี่งอก เวลามันทำไม่ถูกมันก็ไม่พอใจ มันไม่ขาด มันสืบต่อไป ทุกข์เป็นอย่างนั้น

นี่มันถึงต้องที่สุดของการประพฤติปฏิบัติ มันก็ขาดออกไปจากใจ แต่ก็รับรู้อยู่ เห็นไหม ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เป็นความสืบต่อ ขันธ์นี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นภาระที่สืบไปเฉยๆ เป็นภาระ เป็นการสืบต่อ เป็นการสื่อสารกัน

แต่ผู้ที่ยังไม่ประพฤติปฏิบัติ ขันธมาร ขันธ์นี้เป็นมาร ความคิดนี้เป็นมาร ความคิดนี้บีบบี้สีไฟ ความคิดนี้กดขี่บนหัวของเรา แล้วก็คิด เห็นไหม ความคิดมีอำนาจเหนือเรา ทำให้เราเป็นอย่างไรก็ได้ ถ้าความคิดขึ้นมาแล้วมันจะทำตามความคิดอันนั้น

นี่ความคิดมันผูกพันไป มันถึงเป็นขันธมารไง มันถึงสืบต่อ มันถึงไม่ขาด มันถึงไม่ดับ จิตดวงหลังไม่ดับ จิตดวงหลังดับนี้เป็นคำพูดของหลวงปู่แหวนนะ จิตดวงหลังนี่ดับ ดับเพราะกิเลสมันไม่งอกไป

นี้คือการทำเพื่อประโยชน์ของเรา เราทำบุญกุศลนี้มันเป็นการสร้างบุญ นี่เป็นอามิส เป็นอามิสขึ้นมาเพื่อจะให้ได้เกิดฟังธรรม พอฟังธรรมขึ้นมา ธรรมอันนี้มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บอกว่า “หัวใจนี่มันตั้งขึ้นมาได้”

หัวใจของเราตั้งขึ้นมาได้ ถึงมันจะสืบต่อขนาดไหนนะ มันสืบต่อแต่เราไม่รู้ คนตาบอด เห็นไหม เดินไปบนถนนนะ คนตาบอดต้องโดนรถชนตายเด็ดขาดเลย ถ้าคนตาบอดเดินไปบนถนน คนตาบอดต้องหลบออกข้างถนนออกไป เห็นไหม ไม่ก็รถต้องหลบให้

อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราไม่สามารถตั้งใจของเราได้ เหมือนคนตาบอดลุยเข้าไปในอารมณ์ของตัวเองไง จิตนี้ลุยเข้าไปในอารมณ์ของตัวเอง มันมุดเข้าไปในอารมณ์แล้วพยายามกระทบกับอารมณ์ตัวเอง แล้วก็โดนกระทบอยู่อย่างนั้น นี่คนตาบอดเดินไปในอารมณ์ของตัวเอง

นี่ทำบุญกุศลขึ้นมา ถ้าใจตั้งมั่นขึ้นมา มันสามารถหลบหลีกอารมณ์นี้ได้ ถ้าสามารถหลบหลีกอารมณ์นี้ได้ เห็นไหม หลบหลีกอารมณ์ หลบหลีกความรู้สึก หลบหลีกขันธ์ความรู้สึก แล้วจับความรู้สึกนั้นพิจารณาว่าความรู้สึกนี้ ความคิด ความปรุง ความแต่งนี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? สิ่งใดทำให้มันออกมาแล้วมันออกมา มันคิดจะผูกมัดตัวเองขนาดไหน? ถ้ามันผูกมัดตัวเอง มันผูกมัดแล้วจริงหรือไม่จริง?

ถ้ามันไม่จริง ความคิดนี้ไม่จริงหรอก มันไม่จริง มันคิดไปประสาของมันเอง ความจริงมันเป็นความจริงอีกอย่างหนึ่ง ความคิดนี้ไม่จริงเพราะว่าอะไร?

เพราะมันความผูกพัน มันจินตนาการ มันสร้างสมขึ้นไป ความสร้างสมของใจอันนั้นมันผูกพันเข้าไป พอผูกพันมันก็มีความทุกข์เข้ามาเผาลนตัวเอง เห็นไหม ถ้ามันเผาลนตัวเองเท่าไหร่ขนาดไหน มันก็มีความทุกข์เข้ามาให้กับใจของตัวเอง นี่แยกแยะตรงนี้

ถ้าแยกแยะตรงนี้ มันถึงจะเห็นว่าดวงหลังมันขาดออกจากกัน แล้วจิตดวงหลังไม่สืบต่อ มันเกิดดับเหมือนกันแต่มันไม่เกี่ยวพันกัน เห็นไหม มันไม่ทำให้อารมณ์เราต้องทุกข์ยากไปตลอดเวลา แต่มันจะขาดเองโดยธรรมชาติไม่ได้ เพราะธรรมชาติของมันเป็นแบบนี้ ธรรมชาติของมันเป็นการสืบต่อตลอดเวลา แต่เพราะธรรมเข้าไปแยกออก แยกความคิดว่าไม่ใช่เรา ความคิดนี้เป็นความคิดไม่ใช่เรา ความคิดนั้นคิดขึ้นมาแล้วมันให้ประโยชน์กับเราไม่ให้ประโยชน์กับเรา? มันแยกออกไป ถ้ามันแยกออกไป มันเห็นโทษเข้าไปบ่อยๆ เข้า นั่นคือวิปัสสนา สมถกรรมฐานคือทำใจให้ตั้งมั่น ทำจิตให้ตั้งมั่นขึ้นมา ถ้าทำจิตให้ตั้งมั่น

วันนี้วันพระ ถ้าวันพระ เราทำบุญกับพระ เห็นไหม พระนี้เป็นสมมุติสงฆ์ แล้วพระที่ว่าเป็นผู้ประพฤติปฏิบัตินี้เราก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่ถ้าเราทำพระของเราขึ้นมาในหัวใจ นางวิสาขา เห็นไหม เป็นคฤหัสถ์ เป็นโยม แต่ทำไมเรียกว่านางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน?

พระคือพระที่ในหัวใจ ถ้าเราสร้างพระขึ้นมาในหัวใจของเราได้ เราสร้างพระขึ้นมา พอสร้างพระในหัวใจขึ้นมา มันจะรู้เรื่องของใจของเรา ปัจจัตตัง เห็นไหม เห็นว่าดวงใจดวงนี้ จิตดวงหลังมันดับแล้วหนึ่ง แล้วยังสามารถรู้ว่าข้างหน้าเป็นอย่างไร มันสื่อได้ไง มันสื่อได้ มันสามารถรู้ได้ พอมันสามารถรู้ได้ นี่ใจของเราประเสริฐ ประเสริฐขึ้นมาเป็นพระจากภายในหัวใจ

ทำบุญกุศลเพื่อเป็นกุศลของเรา ทำบุญกุศลไม่เป็นกุศลของเรานี่มันเป็นเครื่องที่ว่ามันเป็นอามิส มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันใช้มันหมดไง หลวงปู่มั่นบอกไว้ว่า “จิตนี้ตายเกิดตายเกิด แล้วอย่าให้ไปค้างไปลอยอยู่ที่ในนรกในอบายภูมิ ให้จิตนี้ไปตั้งอยู่บนสวรรค์ แล้วพระศรีอริยเมตไตรยลงมาตรัสรู้ นี่เคลื่อนลงมาจากสวรรค์ เคลื่อนลงมาเพื่อจะรับรู้สิ่งนี้เพื่อจิตมันอ่อน จิตมันควรแก่การงาน”

นี่จิตมันพักอยู่ตามวัฏฏะ ตามภพตามชาติ ถ้าเราไม่มีบุญกุศลอันนี้ประคองไว้ มันก็จะไปประสาความคิดของมัน ถ้ามีบุญกุศลนี้ประคองไว้ มันจะไปดีขึ้นมาไง ไปอยู่ในอำนาจของเรา ไปอยู่ที่ว่าเราสามารถเคลื่อนจิตของเราไปพักที่ไหน ต้องไปพักนะ จิตนี้มันต้องอาศัยเป็นภพเป็นชาติตลอดไป ตายปั๊บเกิดทันทีๆ จะเกิดเป็นอะไรแล้วแต่ของมัน

แต่ถ้ามันไม่มีบุญกุศลนี่เป็นเครื่องประคองไป มันก็ไปไม่ได้ แต่บุญกุศลถ้าเราไปฝังแต่บุญกุศล เห็นไหม เราก็หวังแต่อนาคต ถ้าเราหวังอนาคตนั้น ถ้าเราทำปัจจุบันไม่ได้ หวังอนาคตนั้นมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ถ้าปัจจุบันทำได้ เห็นไหม ปัจจุบันนี้ก็เจอศาสนา ปัจจุบันนี้ก็เจอมัคค-อริยสัจจังที่จะสามารถทำให้พ้นจากกิเลสได้

ถ้าเราทำใจขึ้นมาได้ พยายามบังคับตนขึ้นมา ทำเดี๋ยวนี้ มันเป็นเครื่องยืนยัน มันเป็นของจริงไง มันเป็นของจริงไม่ต้องไปรอข้างหน้า มันเป็นของจริงแล้วเรารับรู้ของเราเลย แล้วมันจะสิ้นสุดไปเดี๋ยวนี้ไง ทุกข์มันก็จะพ้นออกไปจากใจ แล้วเป็นผู้สบายไปก่อน แล้วมันจะรู้ตามความเป็นจริงว่าจิตดวงหลังมันดับอย่างไร? มันไม่สืบต่ออย่างไร? แล้วจะเข้าตามทันครูบาอาจารย์ของเราด้วย แล้วจะเป็นพยานต่อกัน เห็นความคิดเหมือนกัน เอวัง